- หน้าหลัก
- สาระน่ารู้
- เลคเชอร์กฎหมาย
- "คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8122-8123/2567"
"คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8122-8123/2567"
#วิแขวง #วิอาญา
#ฎีกาน่าสนใจ #สอบอัยการผู้ช่วย
#สอบเนติ #สอบผู้พิพากษา
🔺 คดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 คู่ความสามารถยื่นอุทธรณ์กรณีมีการขออนุญาตหรือได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์จากผู้พิพากษาที่พิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นตามมาตรา 22 ทวิ การขออนุญาตอุทธรณ์ คู่ความผู้ขอต้องยื่นคำร้องถึงผู้พิพากษานั้นพร้อมกับคำฟ้องอุทธรณ์ต่อศาลชั้นต้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคสาม ซึ่งนำมาใช้บังคับโดยอนุโลม ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแขวงฯ และผู้พิพากษาที่มีอำนาจได้สั่งคำร้องอนุญาตให้คู่ความนั้นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ หรือกรณีที่มิได้มีการยื่นคำร้องขออนุญาตต่อผู้พิพากษาดังกล่าวโดยตรง แต่ผู้พิพากษาผู้มีอำนาจมีคำสั่งขณะตรวจรับอุทธรณ์ว่า ข้อความที่ตัดสินเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลอุทธรณ์และอนุญาตให้คู่ความฝ่ายนั้นอุทธรณ์ จึงจะเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมาย
🔺แต่คดีนี้ผู้พิพากษาที่พิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นมีคำสั่งในอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมเพียงว่า โจทก์ร่วมยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลอนุญาตให้ขยาย รับอุทธรณ์ของโจทก์ร่วม สำเนาให้จำเลยทั้งสองแก้ภายใน 15 วัน นับแต่วันได้รับสำเนา ไม่ได้มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ร่วมอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมจึงเป็นการกระทำโดยผิดหลง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยว่า การที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมเป็นการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมและพิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมนั้น จึงชอบแล้ว(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8122-8123/2567)