- หน้าหลัก
- สาระน่ารู้
- เลคเชอร์กฎหมาย
- การอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอม
การอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอม
#เลคเชอร์กฎหมาย
#การอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอม #กลุ่มกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
⭐️โดยหลักเมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วหากคู่ความไม่ถูกจำกัดสิทธิอุทธรณ์ คู่ความสามารถอุทธรณ์คำพิพากษาได้ แต่ถ้าในกรณีที่คู่ความสามารถตกลงหรือประนีประนอมยอมความกันได้และให้ศาลพิพากษาตามยอม โดยหลักตามมาตรา 138 วรรคสอง แล้วห้ามอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอม เว้นแต่ 3 กรณีดังต่อไปนี้
1. เมื่อมีข้อกล่าวอ้างว่าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฉ้อฉล
นอกจากจะอุทธรณ์ว่าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฉ้อฉลแล้ว รวมถึงอ้างว่าถูกทนายความอีกฝ่ายหนึ่งฉ้อฉลได้ด้วย (ฎ.1150/2519) แต่จะอุทธรณ์ว่าถูกข่มขู่หรือทำไปด้วยความสำคัญผิดไม่ได้ (ฎ.1298/2524, ฎ.4932/2545)
2. เมื่อคำพิพากษานั้นถูกกล่าวอ้างว่าเป็นการละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย
ตัวอย่างเช่น ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ หรือฟ้องซ้อนกับคดีอื่น หรือผู้รับมอบอำนาจโจทก์ฉ้อฉลโจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยโจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้กระทำได้ (ฎ.4658/2562) ทั้งนี้การทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยยกทรัพย์ให้บุคคลภายนอกไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน (ฎ.3053/2527)
3. เมื่อคำพิพากษานั้นถูกกล่าวอ้างว่าไม่ได้เป็นไปตามข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความ
แต่จะอ้างว่าสัญญาประนีประนอมยอมความขัดต่อเจตนารมณ์ของคู่ความจึงตกเป็นโมฆะไม่ได้ (ฎ.1819/2559)
สรุป : หากไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 138 วรรคสอง ห้ามคู่ความอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมและจะขอเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้ด้วย แต่หากมีการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ คู่ความมีสิทธิขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นได้ตามมาตรา 27 โดยร้องขอเข้าไปในคดีเดิม จะฟ้องขอเพิกถอนเป็นคดีใหม่ไม่ได้ (ฎ.2411/2551)