- หน้าหลัก
- สาระน่ารู้
- ชุดภาพหลักกฎหมาย
- สรุปหลักกฎหมาย เรื่อง หลักทั่วไปของละเมิด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420
สรุปหลักกฎหมาย เรื่อง หลักทั่วไปของละเมิด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420
สรุปหลักกฎหมาย เรื่อง หลักทั่วไปของละเมิด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420
▶️ องค์ประกอบข้อ
1️⃣ ผู้ใดกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
ผู้ใด หมายถึง ผู้ทำละเมิด ซึ่งคำว่า “ผู้ใด” นั้นมิได้หมายความถึงแต่เฉพาะบุคคลธรรมดาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนิติบุคคลด้วย
กระทำ คือ ต้องมีการกระทำ กล่าวคือ เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึก รู้สึกตัว เรียกว่า การกระทำ กฎหมายยังหมายความรวมถึง การงดเว้นการกระทำการด้วย หมายถึง การงดเว้นจากหน้าที่ที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลร้ายนั้น ๆ ซึ่งเหมือนกับที่บัญญัติไว้ใน ป.อ. มาตรา 59 วรรคท้ายนั่นเอง
กรณีที่ให้รับผิดเนื่องจากการงดเว้นนั้น บุคคลนั้นจะต้องมีหน้าที่ป้องกันไม่ไห้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้นด้วยจึงต้องรับผิด ซึ่งหน้าที่ดังกล่าว อาจแยกได้เป็น 4 กรณี คือ
- หน้าที่ที่เกิดจากกฎหมายบัญญัติ
- หน้าที่ที่เกิดจากสัญญา
- หน้าที่ที่เกิดจากการกระทำครั้งก่อน ๆ
- หน้าที่ที่เกิดจากการกระทำ / ความสัมพันธ์พิเศษ
โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
2️⃣ กระทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย
‼️ฎ.3227/2564 โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งแผงค้าที่พิพาท โจทก์ได้ทำสัญญาให้จำเลยเช่าที่พิพาท แม้ต่อมามีมติคณะรัฐมนตรีให้โอนความรับผิดชอบการบริหารตลาดนัดจตุจักรซึ่งเป็นของโจทก์ไปเป็นความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานครก็เป็นเวลาภายหลังจากที่โจทก์ได้ทำสัญญาเช่ากับจำเลย เห็นได้ว่า โจทก์เป็นคู่สัญญากับจำเลย ข้อโต้แย้งไม่ว่าจะเป็นการผิดสัญญาเช่าหรือละเมิดก็เกิดก่อนที่จะมีมติคณะรัฐมนตรีให้โอนการบริหารให้แก่กรุงเทพมหานคร อีกทั้งตามแนวทางดำเนินการโอนความรับผิดชอบการบริหารจัดการตลาดนัดจตุจักรก็มีข้อความระบุว่าหากผู้เช่ารายใดยังคงมีภาระหนี้สินติดค้างกับโจทก์กรุงเทพมหานครจะไม่ทำสัญญากับผู้เช่ารายนั้นและโจทก์ขอสงวนสิทธิ์ในพื้นที่เช่าจนกว่าผู้เช่ารายนั้นจะได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว โจทก์จึงเป็นผู้ได้รับความเสียหายในขณะฟ้องคดีนี้โจทก์มีอำนาจฟ้องโจทก์บอกเลิกสัญญาและสัญญาเช่าสิ้นสุดลง การที่จำเลยยังคงครอบครองใช้ประโยชน์ในพื้นที่ที่เช่าจึงเป็นการกระทำละทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงมีสิทธิเรียก
3️⃣ ค่าเสียหายจากจำเลยได้
‼️ฎ.4404/2564 แม้การกระทำของจำเลยจะเป็นความผิดฐานทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัว หรือความตกใจ โดยการขู่เข็ญตาม ป.อ. มาตรา 392 แต่เมื่อโจทก์มิได้บรรยายการกระทำดังกล่าวมาในคำฟ้อง ทั้งไม่ระบุในคำขอท้ายฟ้องไว้ จึงถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานดังกล่าว ศาลฎีกาจึงไม่อาจลงโทษจำเลยได้ การที่จำเลยใช้อาวุธปืนเล็งข่มขู่ผู้ร้อง แม้จะไม่ได้ทำให้ผู้ร้องบาดเจ็บ แต่ก็เป็นการทำให้ผู้ร้องเสียหายแก่ร่างกายและอนามัยของผู้ร้อง เพราะการกระทำดังกล่าวทำให้ผู้ร้องตกใจกลัวเป็นความเสียหายเกี่ยวกับความรู้สึกด้านจิตใจ ซึ่งเป็นความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินตาม ป.พ.พ. มาตรา 446 ผู้ร้องถูกกระทำละเมิดจึงชอบที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนในกรณีนี้ได้
4️⃣ ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล
เทคนิคการจำ ให้ตั้งเป็นคำถามว่า ถ้าจำเลยไม่ทำ ผลจะเกิดขึ้นหรือไม่?
🔶 หากจำเลยไม่ทำ ผลจะไม่เกิด = ผลเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากกระทำของจำเลย จำเลยจึงต้องรับผิด
🔶 แม้จำเลยไม่ทำ ผลก็ยังเกิดอยู่ดี = ผลเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากเหตุภายนอก มิใช่เกิดจากการกระทำของจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด